Calorie (แคลอรี่) เป็นหน่วยในการวัดพลังงาน โดยหนึ่งแคลอรี่ก็คือปริมาณที่ทำให้น้ำ 1 กรัม 1 องศาเซลเซียส ส่วนพลังงานที่ใช้ในร่างกายหรือพลังงานที่ได้รับจากอาหารจะเรียกเป็น “กิโลแคลอรี่” (kcal) ซึ่งมีไว้เพื่อบอกให้เราทราบว่า อาหารที่เรารับประทานมีแคลอรี่เท่าไหร่ เราจะเห็นได้จากฉลากข้างกล่องบรรจุอาหารต่าง ๆ ซึ่งมีไว้เพื่อบอกปริมาณแคลอรี่ของอาหาร ที่ได้รับประทานเข้าไป เพราะร่างกายต้องการพลังงาน โดยทั่วไปการวัดหน่วยพลังงานถูกแทนที่ด้วย "จูล" แต่ยังนิยมใช้เป็นแคลอรีเป็นหน่วยที่ใช้บอกพลังงานจากอาหาร
การวัดหน่วยแคลอรีมี 2 แบบ คือ
1. small calorie เป็นหน่วยของปริมาณความร้อน ซึ่ง 1 แคลอรี หมายถึง
ปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำบริสุทธิ์ 1 กรัม มีอุณหภูมิสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส ที่ความดันบรรยากาศ 1 แคลอรี เท่ากับ 4.186 จูล
  2. large calorie เป็นหน่วยพลังงานที่ได้จากการเผาผลาญอาหาร แคลอรีสำหรับอาหารเป็น large calorie คือ 1 แคลอรี่อาหาร เท่ากับ 1 กิโลแคลอรี (Kcal) หรือ 1,000 แคลอรี ซึ่งอาจเรียกเพียง แคลอรี่ แทนการเรียกชื่อเต็มว่า กิโลแคลอรี่ มีค่าเทียบเท่า พลังงานที่ทำให้น้ำ 1 กิโลกรัม มีอุณหภูมิสูงขึ้น 1°ซ. หรือเท่ากับ 4.184 กิโลจูล
ปริมาณของสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวันสำหรับคนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป ซึ่งคิดจากความต้องการพลังงานวันละ 2,000 แคลอรี่
โดยปริมาณที่ควรบริโภคต่อวันของคาร์โบไฮเดรตคิดเป็น 60% (1,200 กิโลแคลอรี่) หรือเป็นปริมาณที่ควรบริโภคเท่ากับ 300 กรัมต่อวัน,
โปรตีน 10% (200 กิโลแคลอรี่) หรือเป็นปริมาณที่ควรบริโภคเท่ากับ 50 กรัมต่อวัน, และไขมัน 30% (600 กิโลแคลอรี่)
หรือเป็นปริมาณที่ควรบริโภคเท่ากับ 66.6 กรัมต่อวัน หากต้องการพลังงานมากหรือน้อยกว่านี้ให้ปรับเพิ่มหรือลดลงตามสัดส่วน
จากพลังงานทั้งหมดที่ต้องการต่อวัน ซึ่งร่างกายของเราจะใช้พลังงานเหล่านี้ในการทำให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานและกักเก็บพลังงาน
ส่วนเกินไว้ในรูปของไขมันและแหล่งพลังงานอื่น ๆ ตามอวัยวะในร่างกายไว้ใช้ในอนาคต
อ่านเพิ่มเติม »