ในการแข่งขันฟุตบอลนั้น ผู้เล่นแต่ละทีมลงเล่นได้สูงสุด 11 คน ซึ่งรวมผู้รักษาประตูด้วย และแต่ละทีมประกอบด้วยผู้เล่นตัวจริง และตัวสำรอง ผู้เล่นตัวจริงจะเป็นผู้เล่นชุดแรกที่ลงสนาม ส่วนผู้เล่นตัวสำรองมีไว้เพื่อสับเปลี่ยนกับผู้เล่นตัวจริงในกรณีที่ผู้เล่นตัวจริงไม่สามารถเล่นได้หรือกรณีอื่นๆ ตามความเหมาะสม หรือตามแต่การตัดสินใจของผู้จัดการทีม ซึ่งถ้าเป็นการแข่งขันในลีคทั่วไป จะมีการเปลี่ยนตัวสำรองให้ลงเล่น เพียง 3 ครั้ง และเมื่อ 18 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา ฟีฟ่ามีมติเห็นชอบให้เปลี่ยนตัวสำรองคนที่ 4 ได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่ถ้าเป็นการแข่งขันกระชับมิตร หรือเฉลิมฉลองสร้างความสัมพันธ์จะมีการเปลี่ยนตัวไม่จำกัด ซึ่งผู้เล่นตัวจริงที่ลงสนามต้องมีไม่ต่ำกว่า 7 คน และไม่เกิน11คน และหนึ่งในนั้นจะต้องมีผู้เล่นตำแหน่งผู้รักษาประตู 1 คน, ตัวสำรองสามารถมีได้ไม่เกิน 7 คน ถ้าเป็นการแข่งทั่วไป หรือเชื่อมความสัมพันธ์ สามารถกำหนดจำนวนตัวสำรองได้ ซึ่งผู้เล่นตัวจริงในการลงสนามนั้นอาจจะถูกปรับเปลี่ยนไปตาม แผนการเล่นจำนวนผู้เล่นที่มีอยู่ หรือกลยุทธ์ของผู้จัดการทีมนั้นๆ
แผนการเล่นฟุตบอล หมายถึง การที่ให้นักเตะ แต่ละคนประจำตำแหน่งนั้นๆ ตามความสามารถ หน้าที่ ของนักเตะนั้นๆ เพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ในการ รับ และรุก เพราะถ้าหากไม่ระบุตำแหน่งให้นักเตะ ก็อาจจะทำให้เกิดข้อผิดพลาด และเป็นช่องโหว่ได้ ยกตัวอย่างเช่น นาย ก ทำหน้าที่เป็นกองหลัง แต่ไม่ระบุให้ว่า นาย ก ต้องอยู่ประจำจุดไหน แสดงว่านาย ก จะวิ่งไปไหน หรืออยู่จุดไหนก็ได้ แล้วถ้านาย ก ซึ่งเป็นกองหลัง แต่กลับไปอยู่ตำแหน่งศูนย์หน้า แสดงว่า ตำแหน่งกองหลังที่ นาย ก ควรจะต้องประจำอยู่เกิดว่าง นั่นก็จะกลายเป็นช่องโหว่ ให้อีกทีม สามารถใช้ทำแต้มได้ นั่นเอง แผนการเล่นจะอธิบายด้วยเลขจำนวน 3-4 ตัว หรืออาจจะมากกว่านั้น โดยตัวเลขจะแสดงตั้งแต่ตำแหน่งผู้เล่นเกมรับไปจนถึงเกมรุก เช่น 4 - 3 - 3 แผนการเล่นนี้จะมีกองหลัง 4 คน, กองกลาง 3 คน และ กองหน้า 3 คน ซึ่งไม่นับรวมผุ้รักษาประตู โดยในแต่ละช่วงเวลาของการแข่งขันอาจจะใช้แผนการเล่นที่แตกต่างกันไปตามกลยุทธ์ และสถานการณ์ของทีม การเลือกแผนการเล่นจะเลือกโดยผู้จัดการทีมหรือหัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีม ทักษะและวินัยของผู้เล่นเป็นสิ่งที่สำคัญในการเล่นฟุตบอลอาชีพ แผนการเล่นอาจจะถูกเลือกตามผู้เล่นที่มีอยู่ให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ถนัด หรือบางแผนการเล่นจะใช้เพื่อกำจัดจุดอ่อนหรือเพิ่มจุดแข็งของทีมด้วยทักษะของผู้เล่นแต่ละคน
มีแค่ตำแหน่งกองหน้า (forwards), ฮาล์ฟแบ็ก (half-backs) และทรีควอเตอร์แบ็ก (three-quarter-backs) ช่วงแรกที่มีชื่ออย่างนี้เพราะว่า สมัยนั้นเป็นช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ระบบ 2-3-5 เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง การป้องกันจะมีฟุลแบ็กที่รู้จักกันในชื่อกองหลังฝั่งซ้ายและกองหลังฝั่งขวา แดนกลางจะมีเลฟต์ฮาล์ฟ (left-half), เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ (centre-half) และไรต์ฮาล์ฟ (right-half) และในแนวบุกจะเป็นเอาต์ไซด์เลฟต์ (outside-left), อินไซด์เลฟต์ (inside-Left), กองหน้าตรงกลาง (centre-forward), อินไซด์ไรต์ (inside-right) และเอาต์ไซด์ไรต์ (outside-right) หลังจากนั้นรูปแบบระบบก็พัฒนาไปจนมีชื่อตำแหน่งมากมาย อย่างเมื่อต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 คำว่า "ฮาล์ฟแบ็ก" ได้เปลี่ยนมาใช้คำว่า "กองกลาง" กับตำแหน่งที่เล่นในแดนกลางทั้งกลางสนามและริมเส้น กองกลางตัวกลางได้ถูกพัฒนาขึ้นอีกกลายเป็นกองกลางตัวบุกและกองกลางตัวรับในเกมสมัยใหม่ ตำแหน่งในฟุตบอลได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดเหมือนรักบี้หรืออเมริกันฟุตบอล ถึงอย่างนั้นนักเตะส่วนใหญ่มักเล่นในตำแหน่งเดิมตลอดการค้าแข้งของพวกเขา เพราะในแต่ล่ะตำแหน่งนั้นใช้ทักษะและความสามารถทางร่างกายไม่เหมือนกัน แต่ก็มีนักฟุตบอลบางพวกที่เล่นได้หลายตำแหน่ง ซึ่งถึงเรียกว่า "นักเตะสารพัดประโยชน์"