เริ่มจากคำว่า Gateway ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า ประตูทางผ่าน ซึ่งเป็นเหมือนจุดเชื่อมต่อจากประตูหนึ่งไปยังประตูอื่น ๆ ถ้าสมมุติประเทศแต่ล่ะประเทศในโลกเป็นบ้าน หลาย ๆ หลัง เกตเวย์ก็คือประตูบ้านที่ใช้เข้าออกเชื่อมไปขังบ้านหลังอื่น ๆ ซึ่งบ้านแต่ล่ะหลังก็สามารถมีประตูทางออกได้หลายทาง แต่ Single Gateway คือบ้านที่มีทางเข้าทางออกทางเดียว หรือมืประตูบานเดียว
ข้อดีก็คือ ไม่ว่าใครจะเข้าหรือจะออก ข้อมูลต่าง ๆ ทุกอย่าง จะต้องผ่านทางนี้ ทำให้สามารถตรวจสอบได้ เป็นระบบที่มีความปลอดภัย และเข้มงวด การรักษาความปลอดภัยทำได้เต็มที่ รัฐบาลสามารถตรวจสอบข้อมูลที่ไม่เหมาะสมได้ง่าย การบล๊อก หรือปิดเว็บไซต์ต่าง ๆ ทำได้ง่ายขึ้น
ข้อเสียก็คือ แน่นอนว่าการมีทางเข้าออกบ้านทางเดียว เมื่อหลาย ๆ คนออกพร้อมกัน ย่อมเกิดการติดขัด การทำให้ประตูกว้างขึ้น ก็ต้องใช้งบประมาณในการขยาย ทำให้ค่าบริการอินเตอร์เน็ตสูงขึ้น จากการขยายแบร์นวิธ ซึ่งหากไม่ทำการขยายแบร์นวิธ ความเร็วอินเทอร์เน็ตก็จะลดลง นอกจากนี้หากถูกโจมตีหรือระบบล่ม อินเทอร์เน็ตจะไม่สามารถใช้งานได้ทั้งประเทศ
ยกตัวอย่างถ้าเราต้องการส่งข้อความทางเฟสบุ๊ให้กับเพื่อนเของเรา ข้อมูลจะถูกส่งต่อไปยังผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ต หรือ isp จากนั้นจะถูกส่งไปยังผู้ให้บริการ GATEWAY กว่าสิบเจ้าของประเทสไทย และถูกส่งไปยังเกตเวย์ของสิงค์โปร และไปยังเซิฟเวอร์ของเฟสบุ๊คที่อยู่ในสิงค์โปร จากนั้นข้อมูลก็จะถูกส่งกลับมาทางเดิมหาเพื่อนของเรา จะเห็นได้ว่าแม้ว่าเราจะอยู่ใกล้กันแต่ข้อมูลต้องผ่านถึงสองประเทศ ซึ่งต้องถูกส่งไปประเทศอื่นก่อนจะกลับมาอีกครั้ง จากภาพด้านล่างเป็นการเชื่อมต่อผ่านเกตเวย์หลายช่องทาง ซึ่งประจุบันประเทศไทยมี 12 ช่องทางหรือ 12 ผู้ให้บริการ
หากประเทศไทยเปลี่ยนไปใช้ Single Gateway การเข้าออกของข้อมูลก็จะไหลผ่านช่องทางเดียว ผ่านผู้ให้บริการ Gartway เจ้าเดียว
ซึ่งในประจุบัน 25/08/58 รัฐบาลกำลังมีนโยบาย ที่จะใช้ซิงเกิลเกตเวย์ เพื่อให้ง่ายต่อการรักษาความปลอดภัยและตรวจสอบข้อมูลต่อง ๆ ตัวอย่างประเทศที่ใช้ การเชื่อมต่อแบบ Single Gateway ก็มี จีน เกาหลีเหนือ ลาว และประเทศแถบตะวันออกกลาง จากตัวอย่างประเทศจีนจะเห็นได้ว่ามีความเข้มงวดเรื่องการใช้อินเทอร์เน็ต โดย เว็บไซต์ กูเกิ้ล เฟสบุ๊ค ยูทูป ไม่สามารถเข้าถึงได้ เป็นตัวอย่างหนึ่งของการบล็อกเว็บไซต์