บทความนี้เป็นส่วนของของบทความสอนการใช้งาน Google Sheet ตัวอย่างที่จะใช้ในบทความนี้สามารถนำไปใช้งานได้จริง การจัดเกรด อิงตามคะแนน สำหรับ นักเรียน ประถม มัธยม หรือ ระดับมหาลับที่ตัดเกรดตาม ช่วงคะแนน
การใช้ฟังก์ชั่น IF ใน Google Sheets
ฟังก์ชัน IF ใน Google Sheet คืออะไร
ฟังก์ชัน IF ช่วยให้คุณสามารถทำการเปรียบเทียบตรรกะระหว่างค่าและสิ่งที่คุณคาดหวังไว้ โดยการทดสอบเงื่อนไข และส่งกลับผลลัพธ์ถ้าเป็น true หรือ False
=IF(ถ้ามีบางอย่างเป็น True ให้ดำเนินการอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มี ให้ดำเนินการอีกอย่างหนึ่ง)
ดังนั้นข้อความ IF สามารถให้ผลลัพธ์ได้ 2 แบบ ผลลัพธ์แรกคือ ถ้าการเปรียบเทียบของคุณเป็นจริง ผลลัพธ์ที่สองจะเป็นเท็จ
คำสั่ง IF มีประสิทธิภาพอย่างมาก และสร้างพื้นฐานของรูปแบบสเปรดชีตจำนวนมาก แต่ก็ยังเป็นสาเหตุของปัญหาสเปรดชีตมากมาย โดยปกติ คำสั่ง IF ควรนำไปใช้กับเงื่อนไขที่น้อยที่สุด เช่น ชาย/หญิง ใช่/ไม่ใช่/ไม่แน่ แต่บางครั้ง คุณอาจต้องประเมินสถานการณ์ที่ซับซ้อนกว่าที่ต้องการใช้การซ้อนทับมากกว่าฟังก์ชัน IF 3 ฟังก์ชันรวมกัน
“การซ้อนทับ” หมายถึงหลักปฏิบัติของฟังก์ชันหลายฟังก์ชันรวมกันในสูตรเดียว
ใช้ฟังก์ชัน IF ซึ่งเป็นหนึ่งใน ฟังก์ชันทางตรรกะ เพื่อส่งกลับหนึ่งค่าถ้าเงื่อนไขเป็น จริง และอีกค่าหนึ่งถ้าเงื่อนไขเป็น เท็จ
ไวยากรณ์
=IF(logical_test, value_if_true, [value_if_false])
อาร์กิวเมนต์ การทำงาน
- logical_test คือ เงื่อนไขที่คุณต้องการทดสอบ
- Value_if_true คือ ค่าที่คุณต้องการให้ส่งกลับถ้าผลลัพธ์ของ logical_test เป็น TRUE
- value_if_false คือ ค่าที่คุณต้องการให้ส่งกลับถ้าผลลัพธ์ของ logical_test เป็น FALSE
ตัวอย่าง
ต่อไปนี้คือตัวอย่างของคำสั่ง IF แบบซ้อนทับมาตรฐานเพื่อแปลงคะแนนสอบของนักเรียนให้เป็นเกรดที่เป็นตัวอักษร
=IF(D5>=80,"A",IF(D5>=70,"B",IF(D5>=60,"C",IF(D5>= 50,"D","F"))))
คำสั่ง IF ที่ซ้อนกันอย่างซับซ้อนนี้ทำตามหลักตรรกะอย่างตรงไปตรงมา
- ถ้าคะแนนสอบ (ในเซลล์ D5) มากกว่าหรือเท่ากับ 80 นักเรียนจะได้ A
- ถ้าคะแนนสอบมากกว่า หรือ เท่ากับ 70 นักเรียนจะได้ B
- ถ้าคะแนนสอบมากกว่า หรือ เท่ากับ 60 นักเรียนจะได้ C
- ถ้าคะแนนสอบมากกว่า หรือ เท่ากับ 50 นักเรียนจะได้ D
- มิฉะนั้น นักเรียนจะได้ F
สามารถศึกษาสูตร การใช้งาน Google Sheet เพิ่มเติมได้ที่ Google for work