5 ระบบสี สำหรับงานพิมพ์ Color Printing (คัลเลอร์ ปริ้นติ้ง) ที่นิยมใช้กัน!!
เชื่อว่าในปัจจุบันแทบไม่มีใครที่จะไม่เคยพิมพ์รูปภาพออกมาจากเครื่อง Computer (คอมพิวเตอร์) ที่บ้าน ก็ต้องเคยประสบกับปัญหาว่า ภาพที่พิมพ์ออกมาจากเครื่อง Printer (ปริ้นเตอร์) นั้น สีผิดเพื้ยนไปจากที่เห็นในจอภาพ (มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่กรณี) และคงจะมีคำถามในใจว่า ทำไมผลงานออกมาเท่าไหร่ สีก็ไม่เห็นเหมือนหน้าจอสักทีเพื่อที่จะหาเหตุผลมาอธิบายปัญหาดังกล่าว ต้องเข้าใจเรื่องระบบสีหลักๆ ที่ใช้กันทั่วไปอยู่ในปัจจุบันนี้เสียก่อน
1. ระบบสี RGB (อาร์จีบี)
ระบบสี RGB เป็นระบบสีของแสง ซึ่งเกิดจากการหักเหของแสงผ่านแท่งแก้วปริซึม จะเกิดแถบสีที่เรียกว่า สีรุ้ง ซึ่งแยกสีตามที่สายตามองเห็นได้ 7 สี คือ แดง แสด เหลือง เขียว น้ำเงิน คราม ม่วง ซึ่งเป็นพลังงานอยู่ในรูปของรังสี ที่มีช่วงคลื่นที่สายตา สามารถมองเห็นได้ แสงสีม่วงมีความถี่คลื่นสูงที่สุด คลื่นแสงที่มีความถี่สูงกว่าแสงสีม่วง เรียกว่า Ultra Violet (อุลตราไวโอเลต) และคลื่นแสงสีแดง มีความถี่คลื่นต่ำที่สุด คลื่นแสง ที่ต่ำกว่าแสงสีแดงเรียกว่า InfraRed (อินฟราเรด) คลื่นแสงที่มีความถี่สูงกว่าสีม่วง และต่ำกว่าสีแดงนั้น สายตาของมนุษย์ไม่สามารถรับได้ และเมื่อศึกษาดูแล้วแสงสีทั้งหมดเกิดจากแสงสี 3 สี คือ Red (สีแดง), Blue (สีน้ำเงิน), Green (สีเขียว) ทั้งสามสีถือเป็นแม่สีของแสง เมื่อนำมาฉายรวมกันจะทำให้เกิดสีใหม่ อีก 3 สี คือ สีแดงมาเจนต้า สีฟ้าไซแอน และสีเหลือง และถ้าฉายแสงสีทั้งหมดรวมกันจะได้แสงสีขาว จากคุณสมบัติของแสงนี้เรา ได้นำมาใช้ประโยชน์ทั่วไป ในการฉายภาพยนตร์ การบันทึกภาพวิดีโอ ภาพโทรทัศน์ การสร้างภาพเพื่อการนำเสนอทางจอคอมพิวเตอร์ และการจัดแสงสีในการแสดง เป็นต้น
2.ระบบสี CMYK (ซีเอ็มวายเค)
ระบบสี CMYK เป็นระบบสีชนิดที่เป็นวัตถุ คือสีแดง เหลือง น้ำเงิน แต่ไม่ใช่สีน้ำเงิน ที่เป็นแม่สีวัตถุธาตุ แม่สีในระบบ CMYK เกิดจากการผสมกันของแม่สีของแสง หรือ ระบบสี RGB คือ
- แสงสีน้ำเงิน + แสงสีเขียว = Cyan (สีฟ้า)
- แสงสีน้ำเงิน + แสงสีแดง = Magenta (สีแดง)
- แสงสีแดง + แสงสีเขียว = Yellow (สีเหลือง)
สีฟ้า สีแดง สีเหลือง นี้นำมาใช้ในระบบการพิมพ์ และ มีการเพิ่มเติม สีดำเข้าไป เพื่อให้มีน้ำหนักเข้มขึ้นอีก เมื่อรวมสีดำ ( Black = K ) เข้าไป จึงมีสี่สี โดยทั่วไปจึงเรียกระบบการพิมพ์นี้ว่าระบบการพิมพ์สี่สี ( CMYK )
ระบบการพิมพ์สี่สี ( CMYK )
เป็นการพิมพ์ภาพในระบบที่ทันสมัยที่สุด และได้ภาพ ใกล้เคียงกับภาพถ่ายมากที่สุด โดยทำการพิมพ์ทีละส ี จากสีเหลือง สีแดง สีน้ำเงิน และสีดำ ถ้ลองใช้แว่นขยายส่องดู ผลงานพิมพ์ชนิดนี้ จะพบว่า จะเกิดจากจุดสีเล็ก ๆ สี่สีอยู่เต็มไปหมด การที่เรามองเห็นภาพมีสีต่าง ๆ นอกเหนือจากสี่สีนี้ เกิดจากการผสมของเม็ดสีเหล่านี้ใน ปริมาณต่าง ๆ คิดเป็น % ของปริมาณเม็ดสี ซึ่งกำหนดเป็น 10-20-30-40-50-60-70-80-90 จนถึง 100 %
3. Pantone (เพนโทน) /สีพิเศษ
Pantone เกิดขึ้นมาเพื่อใช้กำหนดสีและกำจัดการเข้าใจผิดกันระหว่างโรงพิมพ์และนักออกแบบเรื่องสีของงานพิมพ์ ส่วนคำว่า Pantone คือ ชื่อบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสีที่เกี่ยวข้องกับงานพิมพ์ทุกชนิดที่ต้องการความแม่นยำในการกำหนดค่าก่อนพิมพ์ Pantone ที่นิยมใช้กันทั่วไปคือ PANTONE SOLID COLOR (เพนโทน โซลิด คัลเลอร์) หรือ เรียกอีกอยางหนึ่งว่า PANTONE SPOT COLOR (เพนโทน สปอต คัลเลอร์) หรือสีพิเศษ สีของ Pantone นั้น ยังบางคนเข้าใจผิดว่าเกิดจาก การผสมของสี CMYK จึงทำให้เกิดสีพิเศษแต่ที่จริงแล้วนั้นเกิดจากการผสมของสีอื่นที่มีเฉดที่แตกต่างกันออกไปเข้าด้วยกัน ไม่ใช่เพียงแต่ CMYK เท่านั้นเพราะว่าสีของ Pantone นั้นถูกทำขึ้นมาเพื่อทดแทนสีที่ CMYK ไม่สามารถพิมพ์ได้ โดยสี Pantoneนั้นจะถูกระบุเป็นรหัส เช่น Pantone 101c เป็นต้น
ในการออกแบบนั้นผู้ออกแบบสามารถกำหนด Pantone โดยการบอกรหัสสีให้โรงพิมพ์ ในการผสมสีเพื่อเตรียมพิมพ์ได้เลยเพราะโรงพิมพ์นั้นจะยึดสีตาม Pantone เพื่อให้ลูกค้าได้งานพิมพ์สีที่ต้องการและตรงกันอย่างแม่นยำ
4. Metallic (สีเมทัลลิก)
สีวาวแบบโลหะ เป็นสีที่มีส่วนผสมของผงโลหะ ทำให้เกิดความประกายสว่าง เกิดการสะท้อนแสงของเม็ดโลหะ(เหมือนกากเพชร)
5. Pearlescent (เพิลเลสเซน)
จะมีส่วนผสมของผงมุกที่จะให้สีที่เหลือบเงาตามมุมแสงที่ตกกระทบ เป็นที่นิยมสำหรับกล่องเครื่องสำอางค์